วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับผู้พิการ

ความหมายของคนพิการ
คนพิการหมายความว่า บุคคลซึ่งมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม เนื่องจากมีความบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว การสื่อสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรือความบกพร่องอื่นใด ประกอบกับมีอุปสรรคในด้านต่างๆ และมีความจำเป็นเป็นพิเศษที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือด้านหนึ่งด้านใด เพื่อให้สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคมได้อย่างบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ ตามประเภทและหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประกาศกำหนด

ประเภทและหลักเกณฑ์ความพิการ
ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ เล่ม ๑๒๖ ตอนพิเศษ ๗๗ ง กำหนดประเภทความพิการไว้ ๖ ประเภท ตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
1.           ความพิการทางการเห็น ได้แก่
1)    ตาบอด หมายถึง การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการมีความบกพร่องในการเห็น เมื่อตรวจวัดการเห็นของสายตาข้างที่ดีกว่าเมื่อใช้แว่นสายตาธรรมดาแล้ว อยู่ในระดับแย่กว่า ๓ ส่วน ๖๐ เมตร(๓/๖๐) หรือ ๒๐ ส่วน ๔๐๐ ฟุต (๒๐/๔๐๐) ลงมาจนกระทั่งมองไม่เห็นแม้แต่แสงสว่าง หรือมีลานสายตาแคบกว่า ๑๐ องศา
2)  ตาเห็นเลือนราง หมายถึง การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการมีความบกพร่องในการเห็นเมื่อตรวจวัดการเห็นของสายตาข้างที่ดีกว่า เมื่อใช้แว่นสายตาธรรมดาแล้ว อยู่ในระดับตั้งแต่ ๓ ส่วน ๖๐ เมตร (๓/๖๐) หรือ ๒๐ ส่วน ๔๐๐ ฟุต (๒๐/๔๐๐) ไปจนถึงแย่กว่า ๖ ส่วน ๑๘ เมตร (๖/๑๘)หรือ ๒๐ ส่วน ๗๐ ฟุต (๒๐/๗๐) หรือมีลานสายตาแคบกว่า ๓๐ องศา
2.             ความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย ได้แก่
1)    หูหนวก หมายถึง การที่บุคคล การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการมีความบกพร่องในการได้ยินจนไม่สามารถรับข้อมูลผ่านทางการได้ยิน เมื่อตรวจการได้ยิน โดยใช้คลื่น ความถี่ที่ ๕๐๐ เฮิรตซ์ ๑,๐๐๐ เฮิรตซ์ และ ๒,๐๐๐ เฮิรตซ์ ในหูข้างที่ได้ยินดีกว่าจะสูญเสียการได้ยินที่ความดังของเสียง ๙๐ เดซิเบลขึ้นไป
2) หูตึง หมายถึง การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการมีความบกพร่องในการได้ยิน เมื่อตรวจวัดการได้ยิน โดยใช้คลื่นความถี่ที่ ๕๐๐ เฮิรตซ์ ๑,๐๐๐ เฮิรตซ์ และ ๒,๐๐๐ เฮิรตซ์ ในหูข้างที่ได้ยินดีกว่าจะสูญเสียการได้ยินที่ความดังของเสียงน้อยกว่า ๙๐ เดซิเบลลงมาจนถึง ๔๐ เดซิเบล
3)   ความพิการทางการสื่อความหมาย หมายถึง การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการมีความบกพร่องทางการสื่อความหมาย เช่น พูดไม่ได้ พูดหรือฟังแล้วผู้อื่นไม่เข้าใจ เป็นต้น
3.         ความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย ได้แก่
1)     ความพิการทางการเคลื่อนไหว หมายถึง การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการมีความบกพร่องหรือการสูญเสียความสามารถของอวัยวะในการเคลื่อนไหว ได้แก่ มือ เท้า แขน ขา อาจมาจากสาเหตุอัมพาต แขน ขา อ่อนแรง แขน ขาขาด หรือภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังจนมีผลกระทบต่อการทำงานมือ เท้า แขน ขา
 ความพิการทางร่างกาย หมายถึง การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการมีความบกพร่องหรือความผิดปกติของศีรษะ ใบหน้า ลำตัว และภาพลักษณ์ภายนอกของร่างกายที่เห็นได้อย่างชัดเจน
4.          ความพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม หรือออทิสติก ได้แก่
1)    ความพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม หมายถึง การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากความบกพร่องหรือความผิดปกติทางจิตใจหรือสมองในส่วนของการรับรู้ อารมณ์ หรือความคิด
2)  ความพิการทางออทิสติก หมายถึง การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากความบกพร่องทางพัฒนาการด้านสังคม ภาษาและการสื่อความหมาย พฤติกรรมและอารมณ์ โดยมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของสมอง และความผิดปกตินั้นแสดงก่อนอายุ ๒ ปีครึ่ง ทั้งนี้ ให้รวมถึงการวินิจฉัยกลุ่มออทิสติกสเปกตรัมอื่น ๆ
5.          ความพิการทางสติปัญญา ได้แก่ การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการมีพัฒนาการช้ากว่าปกติ หรือมีระดับเชาว์ปัญญาต่ำกว่าบุคคลทั่วไป โดยความผิดปกตินั้นแสดงก่อนอายุ ๑๘ ปี
6.          ความพิการทางการเรียนรู้ ได้แก่ การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวัน หรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมโดยเฉพาะด้านการเรียนรู้ ซึ่งเป็นผลมาจากความบกพร่องทางสมอง ทำให้เกิดความบกพร่องในด้านการอ่านการเขียน การคิดคำนวณ หรือกระบวนการเรียนรู้พื้นฐานอื่นในระดับความสามารถที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานตามช่วงอายุและระดับสติปัญญา


สมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย 


แต่เดิมมา สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยได้ก่อตั้งในนามของสมาคมคนตาบอดกรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2510 ทั้งนี้เกิดขึ้นจากคำปรารภของมิสเจนีวีฟ คอลฟิลด์ สตรีตาบอดชาวอเมริกัน ผู้ที่ริเริ่มก่อตั้งโรงเรียนสอนคนตาบอดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยได้รับความอนุเคราะห์จากมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ให้ใช้โรงเรียนสอนคนตาบอดเป็นสถานที่ติดต่อชั่วคราว

วัตถุประสงค์หลักในการก่อตั้งเป็นสมาคมขึ้นนี้ กล่าวโดยสรุป คือ
1. เพื่อการรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนตาบอด
2. เพื่อร่วมกันพิทักษ์และรักษาสิทธิอันพึงมีพึงได้โดยชอบธรรมของคนตาบอด
3. เพื่อพัฒนา ส่งเสริม และสร้างให้คนตาบอดที่ยังขาดโอกาสในสังคมได้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น



ต่อมา เพื่อให้เป็นการเหมาะสมแก่สถานภาพของสมาคมฯ ที่ขยายตัวเติบโตขึ้นเป็นลำดับมา และเพื่อให้เป็นการสอดคล้องรองรับกับวัตถุประสงค์หลักดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมการบริหารสมาคมฯ จึงได้มีความเห็นชอบให้ดำเนินการขอแก้ไขการจดทะเบียนจากสมาคมคนตาบอดกรุงเทพฯ เป็น "สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย"
ซึ่งต่อมาได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการให้เปลี่ยนแปลงชื่อสมาคมใหม่ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ.2524 โดยได้ย้ายสำนักงานมาอยู่ ณ ที่อาคารสยามพืชไร่ ถนนพญาไท จนกระทั่งปี พ.ศ. 2527 สมาคมฯ ได้รับความอนุเคราะห์จาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ (นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 1.7 ล้านบาท เพื่อจัดซื้ออาคารพร้อมที่ดินในซอยบุญอยู่ ถนนดินแดง ให้ใช้เป็นสำนักงานถาวร และสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยจึงได้มีที่ทำการ ณ อาคารดังกล่าว จนถึงปัจจุบัน



วัตถุประสงค์ของสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย
1. ประสานงานและร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในและนอกประเทศเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูและพัฒนาคนตาบอด
2. ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในการยกระดับและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนตาบอดทั่วประเทศทั้งด้านการศึกษา อาชีพ เศรษฐกิจ สถานภาพทางสังคม และอื่นๆ
3. จัดสวัสดิการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตให้แก่สมาชิกรวมทั้งร่วมกันแก้ไข และขจัดอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้น
4. ส่งเสริมความสามัคคีและความเข้าใจอันดีระหว่างคนตาบอดและบุคคลทั่วไป
5. ร่วมกันรักษาสิทธิและหน้าที่อันพึงมีพึงได้ตามกฎหมาย
6. เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อเสริมสร้างทัศนคติที่ถูกต้องตลอดจนความเข้าใจอันดีของการอยู่ร่วมกันในสังคมระหว่างคนตาบอดกับบุคคลทั่วไป
7. ส่งเสริม สนับสนุนให้คนตาบอดมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทั้งที่เป็นการเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการกำหนดนโยบายที่มีผลกระทบต่อคนตาบอดโดยตรง ตลอดจนการร่วมพัฒนาชุมชน สังคม และประเทศชาติโดยรวม
8. ดำเนินกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยไม่แสวงหากำไร รวมทั้งส่งเสริมผลักดันและพิทักษ์สิทธิของคนตาบอดที่เกิดจากกิจการดังกล่าวทุกประการ
9. ส่งเสริมและดำเนินการด้านการกีฬาและนันทนาการของคนตาบอด เพื่อสุขภาพและความเป็นเลิศในทุกระดับ
10.รับสัมปทานจากรัฐในการประกอบกิจการต่าง ๆที่เป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้คนตาบอดได้ประกอบอาชีพที่หลากหลาย เช่น อาชีพ ค้าสลาก โดยจำหน่ายสลากทุกประเภทที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือรัฐบาลพิมพ์ออกจำหน่าย ทั้งนี้ตามความรู้ และความสนใจของแต่ละบุคคล



กีฬาโกลบอลกับคนพิการทางสายตา


ประวัติกีฬาโกลบอล
โกลบอล (Goalball) เป็นกีฬาสำหรับคนพิการทางตา ตาบอด เริ่มมีมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ออกแบบและคิดค้นโดย Hanz Lorenzen ชาวออสเตรียและ Reindle ชาวเยอรมนี ซึ่งเป็นทหารผ่านศึกที่ได้รับความพิการริเริ่มขึ้น กีฬาชนิดนี้เป็นกีฬายอดนิยมที่เล่นกันในกลุ่มคนตาบอด มีการจัดการแข่งขันทั้งในประเทศ ระดับนานาชาติ และถูกบรรจุเป็นกีฬาสาธิตครั้งแรกในพาราลิมปิก มอนทรีล แคนาดา ในปี 1976 เป็นกีฬาที่เป็นที่นิยมของคนตาบอด กีฬาโกลบอล มีขนาดของสนามกว้าง 9 เมตร ยาว 18 เมตร ประตูกว้าง 9 เมตร และสูง 1.30 เมตร การแข่งขันจะมี ระยะเวลา 20 นาที

ประเภทการแข่งขัน
แบ่งออกเป็นประเภททีมชายและประเภททีมหญิง โดยมีนักกีฬาที่มีความพิการทางตา กลุ่ม B1 B2 B3 ตามมาตรฐานของสมาคมกีฬาคนตาบอดนานาชาติ (IBSA) ที่ไดกําหนดไว้

รูปแบบของทีม
§  ผู้เล่นจริง 3 คน สำรอง 3 คน
§  ผู้ดูแลนักกีฬา  3 คน รวมทั้งหมด 9 คน
§  ผู้ตัดสินต้องแจ้งผลการเสี่ยงของแต่ละทีมและผู้เล่นสำรองไม่อยู่ในการแข่งขัน ผู้เล่นต้องใส่เสื้อที่กำหนดโดยคณะกรรมการโกลบอล

§  ผู้เล่นที่ถูกไล่ออกจากสนามจะถูกตัดชื่อออกจากใบรายชื่อ

สนามการแข่งขัน
§  กว้าง 9 เมตร ยาว 18 เมตร วัดจากด้านนอกของเส้นและแบ่งตามความยาวของสนามเป็นส่วน ๆ ละ 3 เมตร ได้  6 ส่วน
§  เขตผู้เล่นอยู่ข้างหน้าเส้นประตูของแต่ละด้าน
§  เขตลูกตก อยู่ข้างหน้าพื้นที่เขตผู้เล่น
§  เขตแดนกลาง 6 เมตร แบ่งโดยเส้นกลางสนาม
§  เส้นสนามทุกเส้นกว้าง 5 ซม.และมีเส้นเชือกขนาด 3 มม.
§  อยู่ใต้เทปตรงกลาง
§  เส้นทุกเส้นมีเส้นเชือกหมด ยกเว้นเส้น Line out และ Goal Line
§  พื้นสนาม รับรองโดยคณะอนุกรรมการโกลบอล (IBSA)

ลูกบอล
  • เส้นผ่าศูนย์กลาง 2425 ซม.
  •  เส้นรอบวง 75.578.5 ซม.
  • น้ำหนัก 1250 กรัม
  •  รู ข้างบน มี 4 รู ข้างล่าง มี 4 รู
  •  ลูกกระพรวน มี 2 ลูก
ภาพของลูกโกลบอล

ช่วงก่อนเริ่มการแข่งขัน
              การอบอุ่นร่างกาย
ผู้เล่นต้องทำการอบอุ่นร่างกายอยู่ในเขตของตนเอง ไม่อนุญาตให้ลูกบอลผ่านไปยังฝ่ายคู่ต่อสู้ ถ้ามีการฝ่าฝืน ครั้งแรกเตือน ครั้งที่สองทำโทษ (Team Penalty)
ภาพการอบอุ่นร่างกายก่อนที่จะทำการฝึกซ้อมกีฬาโกลบอล
ระยะเวลาในการแข่งขัน
แบ่งการแข่งขันเป็น 2 ครึ่ง ๆ ละ 12 นาที รวม 24 นาที หมดเวลาแข่งขันพักอย่างน้อย 5 นาที แต่ถ้าในพาราลิมปิกหรือระดับนานาชาติใช้เวลา 15 นาที มีสัญญาณเตือน 5 นาที ก่อนเริ่มการแข่งขันปิดผ้าปิดตาให้เรียบร้อยก่อนการแข่งขัน 90 วินาที  ก่อนเริ่มการแข่งขัน มีสัญญาณเตือนก่อน 30 วินาที และพักระหว่างครึ่ง 3 นาที ทั้ง 2 ทีมต้องพร้อมที่จะทำการแข่งขันหลังจากสัญญาณเตือน 30 วินาที ถ้าไม่ปฏิบัติตาม (Team or Personal Penalty Delay of Game) แต่ละครึ่งจะพิจารณาจบลงเมื่อหมดเวลาการแข่งขัน

ช่วงเริ่มในการแข่งขัน
§  ผู้ตัดสินขาด “Center” ฝ่ายที่ได้เริ่มเล่นก่อน และเป่านกหวีด 3 ครั้ง แล้วพูดว่า “Play”
§  เวลากลางเริ่มต้น
§  เมื่อหมดเวลาครึ่งแรกผู้ตัดสินเป่านกหวีดขาน “Half time” or “game” ผู้ตัดสินดูผู้เล่นด้วยว่าสัมผัสผ้าปิดตาก่อนหมดเวลาหรือหลังหมดเวลา ถ้าสัมผัส (Personal Penalty – Eyeshapes)
§  เวลากลางจะหยุดหรือเริ่มตามสัญญานนกหรีดผู้ตัดสิน ยกเว้นเวลาทำโทษเวลาต้องหยุด                 
§  เมื่อลูกบอลออกนอกสนาม เมื่อเริ่มเล่นใหม่กรรมการส่งลูกบอลตรงเส้นข้างของตำแหน่งผู้เล่น ซ้าย ขวา ด้านใกล้ประตู
§  เมื่อลูกบอลออกเส้นข้าง ผู้ตัดสินขาด “Out” และส่งลูกบอลเข้าสนามโดยผู้ตัดสินหรือผู้ตัดสินประตู ที่เส้น 1.50 เมตร ด้านข้างที่ลูกบอลออกใกล้เสาประตู และผู้ตัดสินขาน “Play”
§  ลูกบอลออกเส้นข้าง และออกจากเส้น Line Out ผู้ตัดสินขาน Out-whistle-line out และเริ่มใหม่โดย whistle-play กรรมการ 10 วินาที จับเวลาต่อไป (Restarted)
§  เมื่อผู้ตัดสินส่งบอลที่เส้น 1.50 เมตรแล้ว  ผู้ตัดสินเป่านกหวีดขาน Play แล้วผู้เล่น ทีมที่ถูกส่งลูกบอลให้ต้องพยายามจับลูกบอลรีบเล่น เพราะเวลา 10 วินาทีกำลังจับอยู่
§  ไม่มีการช่วยเหลือจากการปรับตัวเข้ากับเส้นเขตผู้เล่นในช่วงเวลาการแข่งขัน ถ้าไม่ปฏิบัติตาม (Team or Personal Penalty of game)
§  ผู้ตัดสินอาจจะช่วยเหลือในการปรับตัวของผู้เล่นได้ในช่วงเวลาการทำโทษเวลาอื่นห้ามปฏิบัติ         ถ้าปฏิบัติ
§  Dead  Ball ลูกบอลถูกตัวผู้เล่น ถูกเสาประตู  คานประตูและกระดอนกลับมาหยุดนิ่งในเขตผู้เล่น เขตลูกตก เขตกลางสนามด้านฝ่ายรับบอล ผู้ตัดสินเป่า Whistle-Dead ball
§  ถ้าผู้เล่นต้องออกจากสนามแข่งขันเพื่อปฐมพยาบาล หรือปรับแต่งอุปกรณ์ ผู้ตัดสินขานขอเวลานอก และผู้เล่นอาจจะไม่กลับเข้ามาในสนามจนกระทั่งหมดเวลาครึ่งแรก
§  การทำความสะอาดพื้นควรพิจารณาโดยผู้ตัดสินหรือผู้ตัดสินประตู เพื่อความปลอดภัยของผู้เล่น โดยเป่า Whistle - official time out – wet floor or clean floor
ภาพส่วนหนึ่งในช่วงการเริ่มการแข่งขัน
การได้คะแนน/ประตู
§  ลูกบอลเข้าประตูต้องผ่านเส้นประตู
§  ไม่ได้ประตูโดยผู้ตัดสิน/ผู้ตัดสินประตูผ่านบอลเข้าประตู
§  ถ้าฝ่ายรับ รับบอลแล้ว Eye shapes หลุดกระเด็นออก ผู้ตัดสินจะยังไม่เป่านกหวีดทันที จะปล่อยให้บอลเข้าประตู โดยบอลผ่านเส้นประตูก่อนแล้วเป่านกหวีดเป็นประตู
§  ทีมที่ทำประตูได้มากสุดเป็นฝ่ายชนะ
§  Game over ทีมใดทำประตูเหนือคู่ต่อสู้ 10 ประตู กรรมการเป่า Whistle ขาน Game over

ทีมขอเวลานอก
§  ขอเวลานอกได้ 3 ครั้ง ๆ ละ 45 วินาทีและสามารถใช้เวลานอกได้ทั้งสองทีม
§  สามารถขอเวลานอกได้อีก 1 ครั้ง ในช่วงต่อเวลาการแข่งขัน
§  ทีมที่มีสิทธิ์ขอเวลานอก คือทีมที่ครองบอล ผู้ตัดสินเป่า Whistle-time out อีกทีมอาจขอเวลานอกต่อก็ได้ (ทีมที่ไม่ได้ขอครั้งแรก)
§  ขอเวลานอกโดยทีมส่งสัญญานหรือขานว่า Time out ทั้งสองอย่าง
§  การขอเวลานอกจะเริ่มขึ้นต่อเมื่อผู้ตัดสินขานชื่อทีมที่ขอเวลานอก (Whistle–time out–Thailand)
§  ผู้ตัดสิน 10 วินาที ควรกดเวลาเตือนก่อน 15 วินาที ก่อนหมดเวลานอก
§  เมื่อสัญญานดังผู้ตัดสินขาน Fifteen second
§  ทีมขอเวลานอกและส่งสัญญานขอเปลี่ยนตัวก่อนหมดเวลานอกถือว่าทีมนั้นขอทั้งเวลานอกและเปลี่ยนตัว และทำโทษทีม (Team Penalty Delay of game)
§  การขอเวลานอกต่อได้นั้น ทีมนั้นจะต้องโยนลูกไปฝั่งตรงข้ามแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง จึงจะขอเวลานอกและขอเปลี่ยนตัวได้
§  ทีมขอเวลานอกเกิน 3 ครั้ง ในเวลาปกติและขอเวลานอกเกิน 1 ครั้ง ในช่วงต่อเวลา (a team penalty-Delay of game)
§  เมื่อผู้ตัดสินขาน Quiet please ผู้ฝึกสอนต้องหยุดสอนทันที ถ้าไม่ปฏิบัติ(Team Penalty-Illegal)


การเปลี่ยนตัวผู้เล่น
§  ขอเปลี่ยนตัวได้ 3 ครั้ง ในเวลาปกติ
§  ขอเปลี่ยนตัวได้ 1 ครั้ง ในเวลาปกติ
§  ผู้เล่นคนเดิม สามารถเปลี่ยนตัวได้มากกว่า 1 ครั้ง
§  ทีมที่ครอบครองบอลสามารถขอเปลี่ยนตัวได้ และเมื่อผู้ตัดสินเป่านกหวีด และขานว่า Substitutions ชื่อทีม อีกทีมหนึ่งอาจขอเปลี่ยนตัวได้
§  ทีมที่ขอเปลี่ยนตัวต้องแสดงสัญญาน หรือส่งเสียงให้ผู้ตัดสินทราบ
§  การเปลี่ยนตัวจะเริ่มขึ้นเมื่อผู้ตัดสินประกาศการร้องขอจากทีม
§  ผู้ตัดสินเป่า Whistle-Substitutions-Team-number-out-number in  ผู้ฝึกสอนโชว์ป้ายหมายเลขผู้เล่นที่ออกจากสนามและผู้เล่นที่เข้าไปใหม่ในสนาม
§ ในกรณีเปลี่ยนตัวแล้วผู้เล่นที่ทำการเปลี่ยนตัวไม่พร้อม เช่นไม่ปิดตาให้เรียบร้อย Team Penalty-Delay of game
§  การขอเวลานอกก่อนหมดเวลาการเปลี่ยนตัว ทีมจะต้องถูกนับทั้งการเปลี่ยนตัวและการขอเวลานอก
§  หลังจากทีมขอเปลี่ยนตัว ต้องโยนบอลไปฝ่ายตรงข้ามก่อนอย่างน้อย 1 ครั้ง จึงสามารถขอเปลี่ยนตัวและขเวลานอก ครั้งต่อไปได้
§  ผู้ตัดสินประตูเป็นนำผู้เล่นที่ถูกเปลี่ยนตัวออกมายังเสาประตูที่ใกล้ที่นั่งพักสำรอง และผู้เล่นต้องไม่สัมผัสผ้ปิดตาจนกว่าจะออกนอกสนามเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ปฏิบัติ Team Penalty Illegal Coaching
§  ในระหว่างการยิงลูกโทษ สามารถเปลี่ยนตัวได้ ยกเว้นผู้เล่นที่ถูกทำโทษ
§  สามารถสอนได้ในช่วงเวลาเปลี่ยนตัวจนกระทั่งผู้ตัดสินขาน Quiet Please
§  ถ้าไม่ปฏิบัติ Team Penalty Illegal Coaching
§การเปลี่ยนตัวในระหว่างพักครึ่งเวลา(Half time)ทีมต้องแจ้งผู้ตัดสินและผู้ตัดสินจะประกาศก่อนเริ่มการแข่งขันในครึ่งเวลาหลัง ถ้าไม่ปฏิบัติ Team Penalty Delay of game
§  ทีมใดขอเปลี่ยนตัวเกิน ๓ ครั้งในช่วงเวลาปกติ ทีมใดขอเปลี่ยนตัวเกิน ๑ ครั้ง ในช่วงต่อเวลา A team Penalty-Delay of game


การโยนลูกบอล 3 ครั้งติดต่อกัน
§  ผู้เล่นโยนบอลติดต่อกันเกิน 2 ครั้ง
§  ผู้เล่นที่โยนบอลติดต่อกันเกิน 2 ครั้ง จะถูกทำโทษ
§  นับการโยนและไม่นับประตู
§  การนับจะนับรวมจากครึ่งเวลาแรกต่อในครึ่งเวลาหลังด้วย(ในเวลาปกติ) แต่ไม่นับรวมในช่วงต่อเวลา การโยนระหว่างการยิงลูกโทษจะบันทึกการโยนด้วย
§  การทำเข้าประตูตัวเองนับเป็นประตู แต่ไม่นับเป็นการโยน
§  กรรมการโต๊ะแจ้งโทษให้ผู้ตัดสิน

เมื่อจบเกมส์การแข่งขันการต่อเวลา
§  ถ้าต้องการหาผู้ชนะในกรณีที่เสมอกันในเวลาปกติ จะต่อเวลาออกไป 2 ครึ่ง ๆ ละ 3 นาที
§  พักก่อนแข่งต่อเวลา 3 นาที (ระหว่างเวลาปกติและช่วงต่อเวลา)
§  เสี่ยงกันใหม่
§  เมื่อหมดช่วงต่อเวลาครึ่งแรกให้เปลี่ยนข้างทันทีและมีเวลาพักระหว่างครึ่ง 3 นาที
§  ทีมใดทำประตูแรกได้ก่อนเป็นฝ่ายชนะไป (Golden goal)